tag:blogger.com,1999:blog-59757434464005504792024-02-19T08:25:17.788-08:00ความเป็นมาของชนชาติไทยเข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรมไทย ภูมิปัญญาไทย มีความภาคภูมิใจ และธำรงความเป็นไทยครูจักรกฤษณ์ ดาวไธสงhttp://www.blogger.com/profile/03118799737520634651noreply@blogger.comBlogger1125tag:blogger.com,1999:blog-5975743446400550479.post-73936931544401281512010-08-18T00:15:00.000-07:002010-08-18T00:15:54.117-07:00พัฒนาการความเป็นมาของชนชาติไทย<span style="background-color: #ead1dc; color: red;">มาตรฐาน ส 4.3</span><br />
<br />
<span style="color: #6aa84f;">เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรมไทย ภูมิปัญญาไทย มีความภาคภูมิใจ และธำรงความเป็นไทย</span><br />
<span style="background-color: #fff2cc; color: red;">มาตรฐานการเรียนรู้ ส 4.3.1</span><br />
<span style="color: #134f5c;">สรุปแนวคิดของพัฒนาการประวัติศาสตร์ไทย โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์</span><br />
<span style="color: red;">สาระการเรียนรู้</span><br />
<span style="color: #660000;">แนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการความเป็นมาของชาติไทย</span><br />
<br />
<span style="color: blue;">พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของชาติไทย ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน พัฒนาการด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ </span><br />
<span style="color: red;">ด้านการเมืองการปกครอง</span> <span style="color: #38761d;">มีพัฒนาการตั้งแต่ระบบการปกครองแบบพ่อปกครองลูกในสมัยสุโขทัย และเข้าสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย</span><br />
<span style="color: red;">ด้านเศรษฐกิจ</span> <span style="color: #8e7cc3;">มีพัฒนาการมาตั้งแต่การผลิตแบบพึ่งตนเอง พัฒนาสู่การผลิตเพื่อขาย การผูกขาดด้านการค้า และขยายตัวเป็นแบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม</span><br />
<span style="color: red;">ด้านสังคม</span> <span style="color: #b45f06;">มีพัฒนาการจากสังคมชนชั้นในสมัยสุโขทัยเข้าสู่สังคมศักดินาในสมัยอยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ตอนต้น จนถึงสังคมประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข</span><br />
<span style="color: red;">ด้านวัฒนธรรม</span> <span style="color: #741b47;">ชนชาติไทยมีวัฒนธรรมของตนเองต่อมารับวัฒนธรรมจากภายนอก ได้แก่ วัฒนธรรมอินเดีย จีน และอิสลาม ต่อมารับวัฒนธรรมตะวันตก วัฒนธรรมต่าง ๆ เหล่านี้ถูกนำมาปรับปรุง เพื่อให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนไทย จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคนไทยในปัจจุบัน</span><br />
<br />
<span style="color: blue;">พัฒนาการของชาติไทย มีพัฒนาการในช่วงการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ดังนี้</span><br />
<span style="background-color: cyan; color: red;">พัฒนาการด้านการเมืองการปกครอง</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2Ki_JTOJvcC-6ZXWbbLPeakcWMfmwr8Y9rgUcrNqjfV8SGamH5C_A8CNS1qCYUms8qUVdoxQGtiGAhIG8p6a2QsnzTBMwmbWlxHzOzyqO6WfD5Eho-GKBpGT16NbGR-KrFHF17qZDCHXj/s1600/%E0%B8%A35.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2Ki_JTOJvcC-6ZXWbbLPeakcWMfmwr8Y9rgUcrNqjfV8SGamH5C_A8CNS1qCYUms8qUVdoxQGtiGAhIG8p6a2QsnzTBMwmbWlxHzOzyqO6WfD5Eho-GKBpGT16NbGR-KrFHF17qZDCHXj/s1600/%E0%B8%A35.jpg" /></a> <span style="color: blue;">การเมืองการปกครองของไทยพิจารณาจากสถาบันพระมหากษัตริย์และรูปแบบการปกครองที่ใช้บริหารประเทศ การติดต่อกับชาติตะวันตกของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะที่ยังทรงผนวช ทรงติดตามความเคลื่อนไหวของชาติตะวันตก โดยเรียนภาษาอังกฤษ ทรงสามารถอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษที่เผยแพร่ที่สิงคโปร์ด้วยพระองค์เอง อีกทั้งศึกษาคริสต์ศาสนาเพื่อเข้าใจความคิดของชาติตะวันตก เมื่อขึ้นครองราชย์พระองค์จึงเริ่มปรับปรุงบ้านเมืองให้ทันมัยแบบตะวันตก</span></div> <span style="color: red;">ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับราษฎรในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สะท้อนให้เห็นความคิดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าทรงมีสถานภาพเป็นสมมติเทในรูปแบบพิธีการ แต่บทบาทของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคล้ายกับกษัตริย์สมัยสุโขทัย ด้วยเหตุนี้จึงได้รับสมญานามว่า “พระปิยมหาราช”</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjtk_x1ptHi-9swbXYD8WSurPYnk-Gt8lTX5yNbrXZm9i1oEVbgtvjQ2a0aHQK8BHFe3UqD60VRt92pYsUEwQv6ICZQl7IqWTea67Nn6x109ZloQdo4gWysS-wcpwL2sB7IVWWALYg5cET1/s1600/%E0%B8%A36.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjtk_x1ptHi-9swbXYD8WSurPYnk-Gt8lTX5yNbrXZm9i1oEVbgtvjQ2a0aHQK8BHFe3UqD60VRt92pYsUEwQv6ICZQl7IqWTea67Nn6x109ZloQdo4gWysS-wcpwL2sB7IVWWALYg5cET1/s1600/%E0%B8%A36.jpg" /></a> <span style="color: #38761d;">พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการศึกษาแบบตะวันตก ซึ่งสังคมทางตะวันตก ได้รับอิทธิพลลัทธิชาตินิยมและเสรีนิยม พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์จึงเป็นกษัตริย์ทันสมัย เช่น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแสดงละครเป็นสามัญชน หรือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยินยอมลดพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แม้ว่าพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์จะอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแต่พระมหากษัตริย์ก็ยังทรงปฏิบัติพระองค์ตามพระราชภาระ ดูแลราษฎรดังเช่นพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อน</span></div><br />
<span style="background-color: cyan; color: red;">ยุคปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย</span><br />
<span style="color: blue;">พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้มีการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยแบบตะวันตก รวมทั้งปรับปรุงการปกครองให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้รอดพ้นจากอิทธิพลชาติตะวันตกโดยปรับปรุงการปกครองดังนี้</span><br />
<span style="color: #b45f06;">1. ตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ โดยสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินมีหน้าที่ในการถวายคำปรึกษาและถวายคำแนะนำข้อราชการสำคัญ ๆ แก่พระมหากษัตริย์ ส่วนสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์มีหน้าที่สอดส่องดูแลความเดือดร้อนของราษฎร การชำระคดีความที่มีผู้ทูลเกล้าถวายฎีกา</span><br />
<span style="color: #b45f06;">2. การปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง โดยทรงโปรดให้จัดตั้งกระทรวงแบบใหม่ตามแบบชาติตะวันตกขึ้น ทำให้การบริหารราชการในแต่ละหน่วยงานเป็นระบบและชัดเจนขึ้น</span><br />
<span style="color: #b45f06;">3. การปฏิรูปการปกครองหัวเมือง โดยนำระบบเทศาภิบาล มาใช้ปกครองประเทศ โดยหัว เมืองต่าง ๆ ขึ้นตรงกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งแบ่งการปกครองหัวเมืองออกเป็น มณฑล เมือง แขวง ตำบล และหมู่บ้าน ดังนั้นสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง สถาบันกษัตริย์เข้มแข็งมั่นคงขึ้น</span> <br />
<span style="color: #38761d;">การปฏิรูปการปกครองทำให้เกิดการสร้างรัฐประชาชาติ (Nation State) เป็นประเทศหรือรับแบบใหม่ นอกจากนี้แนวคิดเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้รับความสนใจจากปัญญาชาวไทยที่ได้ศึกษาแบบตะวันตกเกิดความเคลื่อนไหวเพื่อปรับปรุงการปกครอง จะเห็นได้จากข้อเรียกร้องของเจ้านายและข้าราชการระดับสูง และกบฏ ร.ศ. 130 ซึ่งเกิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีนายทหารกลุ่มหนึ่งวางแผนเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้ตั้งดุสิตธานีเพื่อเป็นการจำลองเมืองที่มีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อลดกระแสความกดดัน ความต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง</span><br />
<br />
<span style="background-color: cyan; color: red;">ยุคประชาธิปไตย</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-bHTx5tPDE5g0YiB4jyuWbbo6AX-_VsG7o-zT7jXiQus_hPQ-FOgJJuTVILhTc70l_CgD1L4uCSmfj8hvSCjppRYis0ioFyjHMV2dVCQafD1JuPolWz0ghKaBA-XZokET6lzZI3-euj9f/s1600/imagesCA28U4YA.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-bHTx5tPDE5g0YiB4jyuWbbo6AX-_VsG7o-zT7jXiQus_hPQ-FOgJJuTVILhTc70l_CgD1L4uCSmfj8hvSCjppRYis0ioFyjHMV2dVCQafD1JuPolWz0ghKaBA-XZokET6lzZI3-euj9f/s1600/imagesCA28U4YA.jpg" /></a> <span style="color: #7f6000;">เริ่มต้นโดยคณะราษฎร ประกอบด้วยข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนทำการยึดอำนาจเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยินยอมให้อำนาจพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ หลังเปลี่ยนการปกครองเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย ได้แก่</span></div><span style="background-color: yellow; color: blue;">พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ</span><br />
<span style="color: #38761d;">สมัยรัตนโกสินทร์ยุคใหม่ในรัชสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เศรษฐกิจในยุคนี้เป็นการค้าเสรี โดยไทยทำสนธิสัญญาเบาริ่งกับอังกฤษ สาระสำคัญเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ได้แก่</span><br />
<span style="color: #4c1130;">1. ให้สิทธิแก่พ่อค้าอังกฤษ (หมายถึง บุคคลในบังคับอังกฤษด้วย) เข้ามาค้าขายตามเมืองท่าของไทยโดยเสรี</span><br />
<span style="color: #4c1130;">2. รัฐบาลไทยเก็บภาษีขาเข้าไม่เกินร้อยละ 3 สินค้าขาออกกำหนดในอัตราตายตัวในแต่ละชนิดสินค้า ส่วนการส่งข้าวออกนั้นห้ามในกรณีเกิดภาวะขาดแคลน</span><br />
<span style="color: magenta;">การค้าเสรีทำให้การค้าแบบผูกขาดของไทยถูกยกเลิกอย่างเด็ดขาด การที่มีเรือชาวต่างชาติมาค้าขายเพิ่มขึ้น และมีการลงทุนทำการค้า อีกทั้งยังนำสินค้าจากต่างประเทศมาจำหน่าย การผลิตสินค้าเป็นไปเพื่อสนองความต้องการของตลาดภายนอก ชาวนามีบทบาทในการผลิตข้าว ต่อมาชาวนาเริ่มผลิตข้าวเพื่อขายโดยเฉพาะละทิ้งกิจกรรมอื่น ๆ เช่น การทอผ้า การผลิตเครื่องใช้ประเภทกระบุง ตะกร้า เครื่องใช้ในการจับปลา เนื่องมาจากสินค้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศราคาถูกกว่า หาซื้อง่าย ไม่จำเป็นต้องผลิตเอง เศรษฐกิจไทยจึงเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบเงินตรา ผลที่ตามมาทำให้เศรษฐกิจไทยต้องอิงอยู่กับเศรษฐกิจโลกและคนไทยพึ่งพาจากภายนอกประเทศ</span><br />
<span style="background-color: yellow; color: blue;">พัฒนาการด้านสังคม</span><br />
<span style="color: blue;">ในสมัยรัตนโกสินทร์เริ่มเปลี่ยนแปลงในด้านความสัมพันธ์ของคนในสังคม ซึ่งเคยผูกพันด้วยภาระหน้าที่ตามโครงสร้างของสังคมและระบบศักดินา ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นการจัดจ้างงาน ระยะแรกส่วนใหญ่เป็นการจ้างชาวจีนอพยพ ต่อมากลุ่มนี้กลายเป็นผู้มีทรัพย์สินเงินทอง จึงเป็นผู้มีอิทธิพลรับใช้ชนชั้นปกครอง เช่น ขุนนาง นายอากร ผู้จัดการโรงงานอุตสาหกรรม การเกษตร โครงสร้างสังคมแบบอยุธยาจึงเปลี่ยนรูปแบบใหม่</span><br />
<span style="color: blue;"> ช่วงที่สังคมไทยเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ทันสมัยแบบตะวันตกเกิดขึ้นในรัชกาลที่ 4 จึงเห็นว่าพัฒนาประเทศให้ทันสมัยจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งทำให้บ้านเมืองปลอดภัย สิทธิของสตรีที่บรรลุนิติภาวะมีอิสระในการเลือกคู่ การส่งเสริมการศึกษา และโปรดให้คณะมิชานารีสอนภาษาอังกฤษแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร เป็นต้น ระบบศักดินาที่แรงงานไม่มีอิสระและการเก็บภาษียังคงเก็บเป็นส่วยนั้นไม่เหมาะกับสังคม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรับปรุงโดยการเลิกไพร่ และทาสในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ได้โปรดให้พระราชโอรสและข้าราชการไปศึกษาต่างประเทศ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ได้นำความรู้มาพัฒนาประเทศ ในด้านกฎหมาย การแพทย์ จนกระทั่งนักเรียนไทยที่ไปศึกษาต่างประเทศต้องการให้ประเทศไทยมีความเจริญเช่นเดียวกับประเทศตะวันตกจนก่อให้เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สังคมมีความเป็นประชาธิปไตยเพิ่มขึ้นเพราะต่างฝ่ายทั้งชาย หญิงต่างมีส่วนร่วมในการปกครองบ้านเมือง แต่ความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคมไทยยังเป็นระบบอุปถัมภ์ ประกอบกับความแตกต่างด้านการดำรงชีวิตในสังคมระหว่างคนจนและคนรวยมีมากขึ้น โดยที่รัฐบาลไทยยุคประชาธิปไตยพยายามแก้ไขปัญหาพื้นฐานของสังคม เช่น โครงการพัฒนาชนบท การจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อเป็นการวางแนวทางการพัฒนาประเทศ เป็นต้น</span><br />
<span style="background-color: yellow; color: blue;">พัฒนาการด้านวัฒนธรรม</span><br />
<span style="color: #674ea7;">การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในสมัยรัตนโกสินทร์ที่ชัดเจน คือ การยอมรับอิทธิพลชาติตะวันตกในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 ที่ยอมรับความเจริญจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของชาวตะวันตก และพระองค์ทางศึกษาภาษาอังกฤษ คริสต์ศาสนา ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้โปรดให้ยกเลิกธรรมเนียมเดิมของไทย ได้แก่ ยกเลิกการหมอบคลาน ให้ข้าราชการสวมเสื้อผ้าเข้าเฝ้าให้พระราชโอรสเรียนภาษาอังกฤษทำให้เป็นพื้นฐาน ต่อมารัชกาลที่ 5 ทรงปรับปรุงบ้านเมืองให้ทันสมัยแบบตะวันตก เช่น โรงเรียนสำหรับกุลบุตร กุลธิดา รัชกาลที่ 5 โปรดให้พระราชโอรสและข้าราชการไปศึกษาในประเทศยุโรป เมื่อบุคคลเหล่านี้กลับมา ได้นำวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน อาทิ การแต่งกายแบบตะวันตก การรับประทานอาหารด้วยมีด ช้อน ส้อม กาแฟ การดื่มน้ำชากาแฟ การเล่นกีฬา ดูภาพยนตร์ การนำรถยนต์มาใช้ การใช้ภาษาอังกฤษ วัฒนธรรมตะวันตกจากชนชั้นสูงได้กระจายสู่สังคมไทย การดำเนินชีวิตที่เป็นแบบชาวตะวันตกมากขึ้นในปัจจุบัน</span><br />
<br />
<span style="background-color: yellow; color: red;"> แบบทดสอบ</span><br />
<span style="color: blue;">คำสั่ง จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียวลงในกระดาษคำตอบ</span><br />
1. ข้อใดไม่ใช่เครื่องชี้วัดระดับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ<br />
ก. การกระจายการผลิตสินค้าและบริการหลายชนิด<br />
ข. การพัฒนาเกษตรกรรมอย่างกว้างขวาง<br />
ค. การเพิ่มอัตราประชากรผู้รู้หนังสือ<br />
ง. การเพิ่มการส่งออกสินค้าไปขายในตลาดโลก<br />
2. การเปลี่ยนแปลงด้านใดตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เป็นต้นมาที่ส่งผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่ช้าที่สุด<br />
ก. ด้านสังคม ข. ด้านเศรษฐกิจ<br />
ค. ด้านวัฒนธรรม ง. ด้านการปกครอง<br />
3. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุสำคัญของการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5<br />
ก. ความวุ่นสายภายในประเทศ ข. ความเสื่อมของระบบมูลนาย –ไพร่<br />
ค. ภัยคุกคามจากมหาอำนาจตะวันตก ง. โครงสร้างการปกครองล้าสมัย <br />
4. ไทยถูกเรียกร้องให้ดำเนินการอย่างไรหลังสงครามโลกครั้งที่ 2<br />
ก. บริจาคข้าวจำนวนหนึ่งแก่อังกฤษ<br />
ข. เสียเงินค่าปฏิกรรมสงครามให้ฝ่ายสัมพันธมิตร<br />
ค. ยอมให้บริษัทต่างชาติเข้ามาควบคุมธุรกิจภายใน<br />
ง. ส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเกาหลี<br />
5. การพัฒนาทางสังคมในสมัยรัชกาลที่ 6 ในลักษณะใดที่เกิดประโยชน์สูงสุด<br />
ก. กำหนดเกณฑ์การเข้าเรียนหนังสือสำหรับเด็กไทย<br />
ข. ยกเลิกการเกณฑ์แรงงานเปลี่ยนเป็นระบบเกณฑ์ทหาร<br />
ค. ส่งเสริมความรู้สึกชาตินิยมผ่านทางวรรณกรรม<br />
ง. สนับสนุนบทบาทและความสำคัญของกลุ่มเสือป่า<br />
6. วิกฤติการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ก่อให้เกิดผลด้านการเมืองที่สำคัญหลายประการ ยกเว้นข้อใด<br />
ก. กลุ่มอาชีพต่าง ๆ เคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิประโยชน์และเสรีภาพ<br />
ข. มีการเลือกตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยตามที่ระบุในรัฐธรรมนูญใหม่<br />
ค. ทำให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2517<br />
ง. ทหารและกองทัพลดบทบาทการเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองจนถึงปัจจุบัน<br />
7. การจัดระเบียบสังคมไทยสมัยอยุธยาเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด<br />
ก. ความมั่นคงของอาณาจักร ข. กำลังแรงงานของทางราชการ<br />
ค. ความเจริญของบ้านเมือง ง. ความสัมพันธ์ระหว่างไพร่กับ มูลนาย<br />
8. การปฏิรูปทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อการเสริมความมั่นคงให้แก่สถาบันกษัตริย์ในตอนต้นรัชกาลที่ 5 คือข้อใด<br />
ก. การเริ่มจัดทำงบประมาณแผ่นดิน ข. การยกเลิกระบบเจ้าภาษีนายอากร<br />
ค. การจ่ายเงินเดือนแก่ข้าราชการ ง. การจัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ <br />
9. เหตุการณ์ใดที่ทำให้บางประเทศคืนสิทฺสภาพนอกอาณาเขตให้ไทย<br />
ก. รัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินเยือนนานาประเทศในยุโรป<br />
ข. การเจรจาของสมเด็จฯ กรม พระยาเทววงศ์วโรปการ<br />
ค. ไทยยอมเสียดินแดนบางส่วนให้แก่อังกฤษและฝรั่งเศส<br />
ง. รัชกาลที่ 6 ส่งทหารเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1<br />
10. การเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยด้านใดที่ไม่ได้เป็นผลจากการยกเลิกระบบไพร่<br />
ก. เกิดการฝึกหัดทหารอาชีพเข้ารับราชการประจำ<br />
ข. ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศมากขึ้น<br />
ค. ประชาชนมีโอกาสเลื่อนสถานภาพทางสังคม<br />
ง. ประชาชนมีอิสระในการตั้ง ถิ่นฐานและประกอบอาชีพ<br />
11. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมไทย ซึ่งเกิดขึ้นในรัชกาลที่ 5 มีลักษณะสำคัญอย่างไร<br />
ก. รับวัฒนธรรมของโลกตะวันตกที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมไทย<br />
ข. ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมไทยให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมโลกตะวันตกเท่าที่จำเป็น<br />
ค. รับเอาสังคมวัฒนธรรมของชาติตะวันตกเข้ามาในสังคมไทยในลักษณะถูกบังคับจากมหาอำนาจ<br />
ง. การเปลี่ยนแปลงสังคมและวัฒนธรรมไทยเกิดขึ้นเฉพาะในเขตเมืองหลวงเท่านั้น<br />
12. การเมืองการปกครองของไทยช่วงระหว่าง พ.ศ. 2480 – พ.ศ. 2514 มีลักษณะอย่างไร<br />
ก. ฝ่ายการเมืองบริหารตามระบอบประชาธิปไตย<br />
ข. ฝ่ายทหารมีบทบาทในระบบอำนาจนิยม<br />
ค. ข้าราชการพลเรือนควบคุมการบริหารราชการ<br />
ง. กลุ่มนักธุรกิจการเมืองมีบทบาทบริหารประเทศ<br />
13. ความล้มเหลวด้านการคลังของไทยสมัยรัชกาลที่ 6 – 7 ประกอบด้วยสาเหตุต่าง ๆ ยกเว้นข้อใด<br />
ก. รัฐบาลมุ่งลงทุนเฉพาะด้านความมั่นคงของประเทศ<br />
ข. รัฐบาลไม่สามารถหาแหล่งรายได้มาเพิ่มเติม<br />
ค. รัฐบาลใช้จ่ายเงินสูงกว่ารายรับ<br />
ง. รัฐบาลไม่ได้จัดระบบการเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพ<br />
14. สาเหตุใดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมไทยในสมัยแรกที่จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี<br />
ก. แนวคิดเรื่องชาตินิยมของผู้นำประเทศ<br />
ข. เพื่อรวมมือกับประเทศญี่ปุ่นในการทำสงครามมหาเอเชียบูรพา<br />
ค. โลกตะวันตกกำลังบ่อนทำลายวัฒนธรรมของชาติไทย<br />
ง. เศรษฐกิจโลกกำลังตกต่ำอย่างรุนแรงและขยายตัวไปทั่วโลก<br />
15. “สมุดปกเหลือง” ที่พิมพ์ขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. 2475 เกี่ยวกับเรื่องอะไร<br />
ก. อุดมการณ์ของคณะราษฎร ข. แถลงการณ์โจมตีคระราษฎร<br />
ค. นโยบายทางการเมืองของรัฐบาล ง. เค้าโครงเศรษฐกิจ <br />
16. ข้อใดมีส่วนน้อยที่สุดในการก่อให้เกิดความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างภูมิภาค<br />
ก. การมีรูปแบบทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน<br />
ข. การมีสภาพภูมิศาสตร์แตกต่างกัน<br />
ค. การมีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณแตกต่างกัน<br />
ง. การมีความเชื่อทางศาสนาแตกต่างกัน<br />
17. การเติบโตทางเศรษฐกิจในสมัยรัชการที่ 5 เป็นผลมาจากปัจจัยหลากหลาย ยกเว้น ข้อใด<br />
ก. การสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ<br />
ข. การขุดคลองในบริเวณทุ่งรังสิต<br />
ค. การสร้างระบบชลประทานในลุ่มน้ำบางประกง<br />
ง. การยกเลิกชนไพร่และระบบทาส<br />
18. ขอมพล ป.พิบูลสงครามใช้วิธีการใดแก้ปัญหาการครอบงำทางเศรษฐกิจของชาวต่างชาติ<br />
ก. เร่งส่งเสริมระบบการค้าเสรีให้กว้างขวางยิ่งขึ้น<br />
ข. ออกกฎหมายห้ามชาวต่างชาติเป็นเจ้าของที่ดิน<br />
ค. จัดตั้งรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินการผลิตและการค้า<br />
ง. ออกกฎหมายโอนอุตสาหกรรมการผลิตของชาวต่างชาติเป็น ของรัฐ <br />
19. ข้อใดไม่ได้รวมอยู่ในนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจในสมัยรัชกาลี่ 5<br />
ก. การตั้งรัษฎากรพิพัฒน์<br />
ข. การทำงบประมาณแผ่นดิน<br />
ค. การใช้เงินตราต่างประเทศเป็นทุนสำรอง<br />
ง. การจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวอังกฤษมาช่วยราชการ<br />
20. คำขวัญ “เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย” มีจุดมุ่งหมายใด<br />
ก. เพื่อกระตุ้นให้คนไทยร่วมมือต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น<br />
ข. เพื่อกระตุ้นให้คนไทยร่วมมือต่อต้านคอมมิวนิสต์<br />
ค. เพื่อให้คนไทยเทิดทูนสถาบันกษัตริย์<br />
ง. เพื่อให้คนไทยทำตามนโยบายของจอมพลป.พิบูลสงคราม<br />
<br />
<span style="background-color: yellow; color: red;">มาตรฐานการเรียนรู้ ส 4.3.2</span> <br />
<br />
<span style="color: blue;">ศึกษากรณีตัวอย่างภูมิปัญญาไทยที่มีอิทธิพลต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยและอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกของชาติด้วยความภูมิใจ</span><br />
<span style="background-color: lime; color: red;">สาระการเรียนรู้</span><br />
<span style="background-color: cyan; color: blue;">ภูมิปัญญาไทย</span><br />
<span style="color: #274e13;">ภูมิปัญญาไทย หมายถึง ความรู้ความสามารถ วิธีการ ผลงานที่คนไทยได้ค้นคว้า รวบรวมและถ่ายทอดความรู้ ปรับปรุงจากคนรุ่นหนึ่งมาสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง จนเกิดผลิตผลงดงามมีคุณค่า นำมาพัฒนาวิถีชีวิต</span><br />
<span style="color: #274e13;"> ความหมายของภูมิปัญญา ภูมิปัญญาตรงกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Wisdom มีความหมายว่า ความรู้ ความสามารถ ความเชื่อ ความสามารถทางพฤติกรรม และความสามารถในการแก้ปัญหาของมนุษย์ ส่วนความหมายตามพจนานุกรม คำว่า ภูมิ หมายถึง แผ่นดิน พื้นเพ คำว่าปัญญา หมายถึง ความรอบรู้ ความรู้ทั่ว ความฉลาดที่เกิดจากการเรียนรู้ ดังนั้นภูมิปัญญา หมายถึง ความรู้ ความฉลาด ความรอยรู้ของทองถิ่นหรือสังคมนั้น ๆ</span><br />
<span style="background-color: cyan; color: blue;">ที่มาของภูมิปัญญาไทย</span><br />
<span style="color: #cc0000;">ภูมิปัญญาไทยที่มาจากคนและสิ่งที่คนไทยประดิษฐ์ค้นหรือสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อความสะดวกในการดำรงชีวิต อาจมาจากบรรพบุรุษ ผู้ที่มีความรู้ทางด้านภูมิปัญญาไทยหรือได้รับอิทธิพลมาจากภูมิปัญญาของชาวต่างชาติแล้วนำมาผสมผสานกับวัฒนธรรมของไทยจนเกิดเป็นภูมิปัญญาไทย</span><br />
<span style="color: #cc0000;"> คนไทยได้สืบทอดภูมิปัญญา องค์ความรู้ที่มีอยู่ดั้งเดิมในชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ แล้วพัฒนาเลือกเฟ้นปรับปรุงองค์ความรู้จนเกิดทักษะและความชำนาญ ปัจจุบันนักเรียนกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่นที่รักสวยรักงามต้องเผชิญกับการรับประทานที่บางมื้อการรับประทานแล้วไม่เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย ประกอบกับภาวการณ์เร่งรีบต่าง ๆ จึงทำให้พฤติกรรมการรับประทานอาหารของคนไทยเปลี่ยนไป ดังนั้นการรับประทานอาหารประเภทพืช ผัก ผลไม้ เพื่อสุขภาพจึงมีความจำเป็น การรับประทานพืชผักผลไม้เพื่อคุณค่าทางอาหาร หรือเพื่อผิวสวยนั้นจึงควรนำมาใช้ในการแก้ปัญหาได้ อย่างเช่นกรณีรับประทานพืชผักแล้วเกิดประโยชน์ต้อร่างกายอย่างไรบ้าง ขอให้การศึกษาจากตัวอย่างต่อไปนี้</span><br />
<br />
<span style="background-color: yellow; color: red;">พืชผักที่เป็นประโยชน์ในด้านอาหารและยา</span><br />
การนำพืชผักจากธรรมชาติมาใช้เพื่อสุขภาพ เช่น<br />
<br />
<span style="background-color: yellow; color: red;">มะเขือเทศ</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgNG876WcX6mMn9UBlKyfzYtRasy9X92DQ53MmCR2hhu9Ujbm-7FMHgY26MDjpURM_VgMwvvFGqdZCipUWp2GlIfnrf1fhzQ20DaK-ZBJOiTa3zRgp7yUzzWvpY68kaw4jJNft6LYZv3ulX/s1600/imagesCA07SEXG.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgNG876WcX6mMn9UBlKyfzYtRasy9X92DQ53MmCR2hhu9Ujbm-7FMHgY26MDjpURM_VgMwvvFGqdZCipUWp2GlIfnrf1fhzQ20DaK-ZBJOiTa3zRgp7yUzzWvpY68kaw4jJNft6LYZv3ulX/s1600/imagesCA07SEXG.jpg" /></a><span style="color: #e69138;">มะเขือเทศเป็นพืชที่มีน้ำมาก อุดมด้วยวิตามิน ช่วยปรับสมดุลของเลือดในร่างกาย สรรพคุณนั้นเย็นเล็กน้อยช่วยดับกระหาย แก้แผลร้อนในภายในช่องปาก กาหรับประทานเล่น ๆ วันละ 1 – 2 ผลตอนเช้าขณะท้องว่างช่วยลดความดัน แก้เส้นเลือดขึ้นตาขาว และช่วยให้อาการของโรคหัวใจ ตับอักเสบดีขึ้น อย่างไรก็ตามถึงจะมีสุขภาพแข็งแรงก็สมควรกินมะเขือเทศเป็นประจำ โดยเฉพาะเด็ก ๆ เพราะมีวิตามินบี 1 มาก ทำให้ความจำดีขึ้น และลดอาการอ่อนล้าของสมอง นอกจากนี้รับประทานมะเขือเทศมาก ๆ ทำให้ผิวสวยอีกต่างหาก</span></div><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><span style="background-color: yellow; color: #b45f06;"> ขิง</span></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpuE4GuzWRo6EepTN1itJmMijIg_v6byllL4YaaSVNVQKERfcZPUS6zsaA00AYnm3KeHElJ4XUwpkAQPoY3c0bvOsP_ysCm6XGx2TgW901yJ51KmfhcnVal_28UQ16VebfueKy8Roh0xhf/s1600/imagesCAAZLLYX.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; cssfloat: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpuE4GuzWRo6EepTN1itJmMijIg_v6byllL4YaaSVNVQKERfcZPUS6zsaA00AYnm3KeHElJ4XUwpkAQPoY3c0bvOsP_ysCm6XGx2TgW901yJ51KmfhcnVal_28UQ16VebfueKy8Roh0xhf/s1600/imagesCAAZLLYX.jpg" /></a><span style="color: #cc0000;">ขิงโดยมากจะเห็นกันในรูปของการปรุงอาหารหรือชงน้ำดื่ม แต่คุณค่าสำคัญ คือ น้ำมันหอมระเหยซึ่งขิงแก่จะมีมากกว่าขิงอ่อน มีสรรพคุณช่วยขับลม แก้อาการแน่นจุกเสียด ท้องอืดเฟ้อ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้ไอขับเสมหะ ทั้งยังช่วยกระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ขิงมีฤทธิ์อุ่น ช่วยในการบรรเทาอาการเนื่องมาจากหวัด เช่น ปวดท้องเป็นไข้ ไอ</span></div><span style="color: #cc0000;"> อาการปวดท้องเป็นไข้ ต้มขิงแห้ง 2 กรัมกับขิงสด 7 กรัมกับน้ำตาลทรายแดงหรือจะต้มกับน้ำตาลจากอ้อยโดยใช้ขิงสด 5 – 10 แว่น</span><br />
<span style="color: #cc0000;"> ลดไข้ นำขิงแก่มาบดสัก 100 กรัม ต้มเอาน้ำเช็ดตัวขับเหงื่อดี นอกจากนี้ขิงทุบละเอียดพอกบริเวณขมับแก้อาการปวดหัว</span><br />
<span style="color: #cc0000;"> อาการไอ ใช้ขิงแก่ขูดแล้วคั้นเอาผสมน้ำตาลหรือน้ำผึ้งลงไปในน้ำต้ม 1 – 2 ถ้วย แบ่งดื่มวันละ 3 ครั้ง ถ้าไอแบบมีเสมหะให้ใช้เหง้าสดตำเติมน้ำมะนาวอย่างละเท่า ๆ กันเติมเกลือเล็กน้อย ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อย ๆ หรือคั้นน้ำขิงสดประมาณครึ่งถ้วยผสมน้ำผึ้ง 30 กรัมอุ่นให้ร้อนก่อนดื่ม</span><br />
<span style="color: #cc0000;"> ขิงอ่อนกินเพียว ๆ สัก 2 – 3 แว่นช่วยย่อย ถ้านำมาต้มน้ำนานสัก 10 นาทีดื่มเป็นชารักษาอาการบวม อาเจียน อาการไอ และให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย </span><span style="color: #cc0000;">หากลองเปลี่ยนมาดื่มน้ำขิงคั้นจะช่วยแก้อาการเมารถ เมาเรือ สะอึก อาเจียน อาหารเป็นพิษได้ หรือจะใช้เป็นขิงสดสับละเอียดต้มน้ำดื่มขณะท้องว่างได้ผลเช่นกัน ถ้าใช้ขิงแก่สดขนาดเท่าหัวแม่มือทุบให้แตกหรือฝานเป็นแว่น ๆ ชงน้ำร้อน 1 ถ้วย ปิดฝาทิ้งไว้ 5 นาที แบ่งดื่ม 3 ครั้งหลังอาหาร ยามอากาศเย็นหากปวดหัว ปวดกระดูก แก้ได้ด้วยขิงสด และใบหอมสดจำนวนพอ ๆ กัน สับละเอียดนำไปคั่วจนร้อนแล้วห่อด้วยผ้า ใช้ทาบริเวณที่ปวด</span><br />
<span style="color: blue;">ข้อควรระวัง คือ อย่ารับประทานน้ำสกัดจากขิงที่เข้มข้นมาก ๆ เพราะจะมีฤทธิ์ตรงกันข้าม คือ จะระงับการบีบตัวของลำไส้จนอาจหยุดบีบตัวไปเลย</span><br />
<br />
<span style="background-color: yellow; color: #38761d;">มะระ</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJpcsGmqtevGZV3SMjAJs0uGkQDUtbN4LrXMI5Y3PlqYsIUtHdbtiOBh15Vx-IL1GOmukGyfjqYCWRNKEaxcps5nPDvI4_MbXGe1kmSqcHHG-C8uJrl2_N9xlsNp7Ypw6TdTa_2E4QhLg2/s1600/imagesCATXUHAC.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJpcsGmqtevGZV3SMjAJs0uGkQDUtbN4LrXMI5Y3PlqYsIUtHdbtiOBh15Vx-IL1GOmukGyfjqYCWRNKEaxcps5nPDvI4_MbXGe1kmSqcHHG-C8uJrl2_N9xlsNp7Ypw6TdTa_2E4QhLg2/s1600/imagesCATXUHAC.jpg" /></a><span style="color: #6aa84f;">มะระนั้นมีรสขมแต่ขมเป็นยาที่แก้ไข แก้ไอ แก้หวัด กรณีเป็นยาแก้ไข้จริง ๆ ใช้ทั้งผล ราก ใบ ดอก เถา อย่างละกำมือ ใส่น้ำท่วมยา ต้มให้เดือดสัก 20 – 30 นาที ดื่มน้ำ ½ -1 แล้วก่อนอาหารทำติดต่อ 3 – 4 วัน อาการจะดีขึ้น ถ้าไม่ยุ่งยากก็เอาไปลวกหรือต้มสุกก่อน แล้วกินเป็นผักจิ้มกับน้ำพริกหรือถ้ากลัวขมนักก็เอาไปหั่นเป็นแว่น ๆ ทอดกับไข่หรือทำเป็นแกงจืดต้มซี่โครงหมู มะระยังใช้แก้เบาหวาน จากการทดลองผลมะระแห้งออกฤทธิ์เหมือนอินซูลิน คือ ช่วยเพิ่มการหลั่งของอินซูลิน ขณะที่ผลของเมล็ดมะระแห้งออกฤทธิ์ช่วยลดน้ำตาลในเลือด น้ำคั้นมะระยังกระตุ้นการหลั่งของอินซูลินและเพิ่มการใช้น้ำตาลของเนื้อเยื่อ ลดการดูดซึมน้ำตาลจากทางเดินอาหาร จึงทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงตามทฤษฎีแพทย์จีนอาหารขมช่วยบำรุงตับ มะระจึงเหมาะสำหรับคนเป็นโรคตับ ช่วยบำรุงธาตุ บำรุงกำลังจึงเหมาะกับผู้ที่เคร่งเครียด (ชาวซีเรียส) และกินเป็นประจำทำให้สายตาดี นอกจากนี้ยังมีการค้นคว้าอยู่ว่าช่วยต้านทานเชื้อ HIV หรือไม่</span></div><br />
<span style="background-color: cyan; color: #38761d;"> ตำลึง</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiULinAMHciagyUOaKLZBPSxjcQ5XuGw_K7EOXAKVJ_GN-WWE2Rh4C2l_29ougk1OlplB5UvzyFqNTxYmZ0bmXQdye6Ys33Yh4cUoqzH3EK6ybjym4AmdjzVYhksHI1FkVKMnT4wmD5Txln/s1600/imagesCAW1YM0C.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; cssfloat: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiULinAMHciagyUOaKLZBPSxjcQ5XuGw_K7EOXAKVJ_GN-WWE2Rh4C2l_29ougk1OlplB5UvzyFqNTxYmZ0bmXQdye6Ys33Yh4cUoqzH3EK6ybjym4AmdjzVYhksHI1FkVKMnT4wmD5Txln/s1600/imagesCAW1YM0C.jpg" /></a><span style="color: #674ea7;">ตำลึงเป็นผักเพื่อสุขภาพ เพราะยอดตำลึงมีแร่ธาตุชั้นยอด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กแถมด้วยวิตามินเอ บำรุงสายตา ซึ่งมีคุณค่าทางอาหารสูง และยังช่วยไม่ให้เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ เนื่องจากใบและเถาตำลึงมีเอนไซม์อะไมเลส (amylase) ตัวย่อยแป้งซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดอาการท้องอืดเฟ้อ แต่จะให้ดีควรรับประทานในรูปของตำลึงสดหรือใช้ความร้อนไม่สูงในการปรุงอาหาร เพราะเอนไซม์ที่ว่าจะสลายง่ายเมื่อถูกความร้อน ที่สำคัญของตำลึงห็คือฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด โดยการคั้นน้ำจากใบและเถาตำลึงหรือจะเป็นน้ำคั้นจากผลดิบ กลั้นใจลืมความเหม็นเขียวแล้วใช้ดื่มให้ได้วันละ 2 ครั้งจะช่วยลดน้ำตาลของคนที่มีปัญหาเรื่องโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดี </span></div><span style="color: #674ea7;"> หากมีอาการผื่นคัน ปวดแสบปวดร้อนเพราะถูกแมลงสัตว์กัดต่อยหรือเป็นพิษ เช่น ใบตำแย หมามุ่ย ให้ใช้ใบตำลึงสด 1 กำมือล้างสะอาด ตำให้แหลกผสมน้ำเล็กน้อย ใช้น้ำที่คั้นได้ทาบริเวณที่มีอาการทาซ้ำบ่อย ๆ จนกว่าจะหายหรืออาจจะใช้ทั้งใบพอกด้วยก็ได้</span><br />
<br />
<span style="background-color: #d9ead3; color: #7f6000;">หน่อไม้</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQy5aNhDv_Os7ipPQjbzIk_VaxOc6ldPk0_K33_O50pl9dI7JQvCMrpgX4W6a-865s8WUonEoXSI7aQTuDjA_GsBJ1euzUoDsGNf0ZqNG6a8Cle9I4cceZwaCPv0E4cHJswFHT63vb9Mk0/s1600/imagesCAS0K628.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQy5aNhDv_Os7ipPQjbzIk_VaxOc6ldPk0_K33_O50pl9dI7JQvCMrpgX4W6a-865s8WUonEoXSI7aQTuDjA_GsBJ1euzUoDsGNf0ZqNG6a8Cle9I4cceZwaCPv0E4cHJswFHT63vb9Mk0/s1600/imagesCAS0K628.jpg" /></a><span style="color: #7f6000;">กล่าวกันว่าหน่อไม้เป็นอาหารที่ค่อนข้างอันตราย มิควรรับประทาน โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคเรื้อรังหรือฟื้นจากโรค เพราะหน่อไม้จะขุดเอาโรคเหล่านั้นกลับคืนขึ้นมาอีก ทว่าจริง ๆ แล้วหน่อไม้เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก โดยให้โปรตีนสูง มีไขมันน้อย ช่วยย่อยอาหาร ไม่ทำให้อ้วนและกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ป้องกันอาการท้องผูก หน่อไม้มีวิตามินบี 1, บี 2, วิตามินซี และกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย นอกจากนี้มีสรรรพคุณแก้กระหาย ขับปัสสาวะ ละลายเสมหะ แก้ไอ บำรุงกำลังและแก้อาการร้อนต่าง ๆ ได้อย่างดี ถ้านำหน่อไม้สดมาต้มเป็นข้าวต้มรับประทานสามารถแก้โรคบิดเรื้อรังได้ ถ้าเป็นหน่อไม้ฝรั่งจะมีคุณสมบัติช่วยขับปัสสาวะ และช่วยลดความดันของเลือด ขยายหลอดเลือด ข้อควรระวังในการรับประทานหน่อไม้ คือ สำหรับผู้ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารขั้นรุนแรง ปวดท้องมีเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคไตอักเสบ เป็นนิ่ว ตับแข็ง ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยหน่อไม้ ดังนั้นจะรับประทานหรือไม่รับประทานมากน้อยเพียงไรต้องว่ากันเป็นคน ๆ ไป</span></div><br />
<span style="background-color: magenta; color: blue;">ผลไม้ที่เป็นประโยชน์ด้านอาหารและยา</span><br />
<br />
<span style="background-color: cyan; color: #38761d;">ฝรั่ง</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjI55u0LRGp1-BZYWA8D0LDASUBOfxp5AfRK76sRvv2mBDlR9dPQ6Pu0qszE5LA0HJyZLmWHokG05V21SZY6xfJtWNdXhp08lU4EzWk1jW_jaI2b1U1nvY9CjftdlMgRAYOFWib79n5-mKR/s1600/imagesCAM50X8J.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjI55u0LRGp1-BZYWA8D0LDASUBOfxp5AfRK76sRvv2mBDlR9dPQ6Pu0qszE5LA0HJyZLmWHokG05V21SZY6xfJtWNdXhp08lU4EzWk1jW_jaI2b1U1nvY9CjftdlMgRAYOFWib79n5-mKR/s1600/imagesCAM50X8J.jpg" /></a><span style="color: #38761d;">ฝรั่งเป็นผลไม้ที่สามารถรับประทานแล้วแก้โรคบิด เบาหวาน ริดสีดวงทวาร หากเสียงแหบแห้งคออักเสบแก้ได้โดยการดื่มน้ำฝรั่งตากแห้ง ส่วนน้ำต้มใบฝรั่งสดใช้ดื่มรักษาและป้องกันลำไส้อักเสบ บิด และท้องเสีย โดยดื่มวันละ 2 – 3 ครั้ง ถ้าหากเป็นอาการแบบเฉียบพลันให้ต้มฝรั่งสับ 250 กรัมกินวันละ 3 ครั้ง อาการที่เกิดจากโรคเบาหวานแก้ได้อย่างง่าย ๆ ด้วยการดื่มน้ำคั้นฝรั่งสดสับก่อนอาหารวันละ 3 ครั้ง</span></div><span style="color: #38761d;"> โรคผิวหนังอักเสบ มีผื่นแดง พุพอง แสบคัน ใช้น้ำต้มใบฝรั่งล้างบริเวณที่เป็นหลาย ๆ ครั้งให้ต้มฝรั่งสด 500 กรัมรวมกับฝรั่งแห้ง 250 กรัม เคี่ยวจนข้นใช้ล้างในลักษณะเดียวกัน ทั้งยังช่วยรักษาแผลเลือดออกและริดสีดวงทวารอย่างได้ผล นอกจากนี้เป็นที่ทราบกันดีของบรรดาผู้มีปัญหาเรื่องกลิ่นปาก จากพิรุธของเมรัย หรือผู้ที่ต้องการความใกล้ชิดอย่างมั่นใจ เพียงเคี้ยวใบฝรั่ง 2 – 3 ใบเป็นอันสบายใจได้</span><br />
<br />
<span style="background-color: cyan; color: #38761d;"> แอปเปิล</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjyqj4ePUJMObmTysDTGxtRqiPuxTNq_i9AX-G4Q08smKkHLj9PJ1pqWx1PXlpm_L4SXpTBeva6-CTPLGphXMcsmidPq5t2IzG9sAd8y6VZvJs-HIcmT0k7cMQb1b9UQNPYl6ISlR8NpNgX/s1600/imagesCA4PQQNU.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; cssfloat: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjyqj4ePUJMObmTysDTGxtRqiPuxTNq_i9AX-G4Q08smKkHLj9PJ1pqWx1PXlpm_L4SXpTBeva6-CTPLGphXMcsmidPq5t2IzG9sAd8y6VZvJs-HIcmT0k7cMQb1b9UQNPYl6ISlR8NpNgX/s1600/imagesCA4PQQNU.jpg" /></a><span style="color: #a64d79;">แอปเปิลสามารถเป็นยารักษาโรค โดยมีคุณสมบัติในการรักษาสมดุลของร่างกาย ซึ่งแอปเปิลมีเกลือโพแทสเซียมมากช่วยกระตุ้นการขับเกลือโซเดียมออกจากร่างกาย ทำให้ความดันโลหิตลดลง รับประทานแอปเปิลปอกเปลือกวันละ 3 ลูก ช่วยรักษาระดับความดันโลหิต ถ้ารับประทานครั้งละ 2 ลูกวันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด สำหรับคนที่มีระบบขับถ่ายไม่ปกติ แอปเปิลมีวิตามินมากทำให้อุจจาระอ่อนตัว มีเกลืออินทรีย์ที่ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ สารเพคตินช่วยปรับสมดุลของระบบการย่อยอาหาร แต่ถ้าเกิดอาการท้องร่วง ให้รับประทานเนื้อแอปเปิลสับละเอียดติดต่อกัน 2 วัน ระบบคืนสู่ภาวะปกติ ส่วนเปลือกแอปเปิลสดนำมาต้มน้ำดื่มแก้คลื่นไส้ มีเสมหะ</span></div><br />
<span style="background-color: #d9ead3; color: blue;">มะม่วง</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhnai_IG4_BPmTc3dlX4CMqfzipsLhmHhGhmOXR84zaZNm8xAd5CC82Pl4TLRniSSdZH3iIXgIo16EV9a1K6FpwZNX8nN_n0nspYmopRwQoeXB_TBFCQ7kk2-FlFCobkHiscxr4N9ms_Aog/s1600/imagesCA5IC81W.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhnai_IG4_BPmTc3dlX4CMqfzipsLhmHhGhmOXR84zaZNm8xAd5CC82Pl4TLRniSSdZH3iIXgIo16EV9a1K6FpwZNX8nN_n0nspYmopRwQoeXB_TBFCQ7kk2-FlFCobkHiscxr4N9ms_Aog/s1600/imagesCA5IC81W.jpg" /></a><span style="color: #38761d;">มะม่วงผลไม้หน้าร้อน แก้โรคได้ตั้งแต่เปลือก เนื้อ เมล็ด ใบ รับประทานมะม่วงวันละ 2 ผลก็รักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ กินทั้งเปลือกวันละ 1 ผล เช้า – เย็น ช่วยย่อยอาหาร ลดอาการแน่นหน้าอก ท้องอืด ถ้ากินทั้งเปลือก 1 ผล วันละ 3 ครั้งแก้อาการไอ มีเสมหะ และหอบหืด สูตรพิเศษแก้หูดให้กินมะม่วงสดวันละ 1 – 2 ผลและใช้เปลือกทาบริเวณที่เป็น</span></div><span style="color: #38761d;"> นอกจากนี้ใบมะม่วงมีสรรพคุณรักษาบาดแผลจากอาวุธ โดยใช้ใบต้มน้ำล้างแผล หรือจะใช้ใบล้างสะอาดตำแหลกพอกแผลช่วยสมานแผลได้เร็วยิ่งขึ้น</span><br />
<br />
<span style="background-color: yellow; color: #660000;"> อ้อย</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxzEK1eNPvMc1en-5O6BImBaLwFZzcwhlnGoPau_PkxlmXZ2qZonFqXzV5T9olM8UlNo1SD79-EWdL0Z7Bd5qOLmOb4LFLJlAJy58AN-SjlTFgHSi9QxutQ8Oe85ZV7pCtPStbvHP-udji/s1600/imagesCAZCME4F.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; cssfloat: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxzEK1eNPvMc1en-5O6BImBaLwFZzcwhlnGoPau_PkxlmXZ2qZonFqXzV5T9olM8UlNo1SD79-EWdL0Z7Bd5qOLmOb4LFLJlAJy58AN-SjlTFgHSi9QxutQ8Oe85ZV7pCtPStbvHP-udji/s1600/imagesCAZCME4F.jpg" /></a><span style="color: #783f04;">อ้อยเป็นไม้มงคลที่ขาดไม่ได้ในขบวนแห่ขันหมาก เพราะเชื่อว่าส่งผลให้ชีวิตคู่หวานชื่น ทั้งยังเชื่อกันว่ามาแต่ดั้งเดิมว่าอ้อยมีสรรพคุณเป็นยาดับร้อน บำรุงกระเพาะ ช่วยย่อยอาหาร น้ำอ้อยไม่เพียงแต่ให้ความหวาน เย็น ชื่นใจ ยังสามารถนำมาปรุงเป็นยาตำรับพื้นบ้านได้อีก เช่น แก้อาการไอเรื้อรังจากวัณโรคปอด โดยการนำน้ำอ้อย 1 ½ ลิตร ผสมข้าวสารจำนวนพอเหมาะ ต้มเป็นข้าวต้มกิน แบ่งรับประทานวันละ 2 ครั้ง น้ำอ้อยสดครึ่งแก้วผสมน้ำคั้นจากขิงสดหนึ่งช้อนชา คนให้เข้ากันแล้วตั้งไฟพออุ่น ดื่มรักษาอาการอาเจียนไม่หยุด เช่น ที่พบในโรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง มะเร็งกระเพาะอาหารระยะต้น</span></div><span style="color: #783f04;"> อ้อยคั้นจนหมดน้ำเหลือแต่ชานอ้อย ยังนำมาต้มกับสุรากินแก้อาการปัสสาวะขัดหรือกระเพาะปัสสาวะแน่นได้อีก กระทั่งเปลือกอ้อยยังใช้แก้โรคศีรษะเป็นชันนะตุ เหงือกอักเสบ มีแผลในช่องปาก โดยนำมาคั่วจนเกรียมบดเป็นผงละเอียดผสมกับน้ำมันงา ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง ส่วนเนื้ออ้อย (ช่วยขัดฟัน) น้ำอ้อย ชานอ้อย เปลือกอ้อย เลือกใช้ได้ตามวาระ</span><br />
<br />
<span style="background-color: yellow; color: #f1c232;">มะละกอ</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiLAYQespmQ7OZWs8VhuhU42-U_g18_pNmp3P-BQ941OW0U3ptnZ0qPXxTo57EeBlwXM4yJqXgzY4lgRzjMK4rOR-W_pejzuI6QoPh294JdcCVSEd4XW6LurohQ7Jsakw2U3l0-_eiulgYB/s1600/imagesCAIPE13C.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiLAYQespmQ7OZWs8VhuhU42-U_g18_pNmp3P-BQ941OW0U3ptnZ0qPXxTo57EeBlwXM4yJqXgzY4lgRzjMK4rOR-W_pejzuI6QoPh294JdcCVSEd4XW6LurohQ7Jsakw2U3l0-_eiulgYB/s1600/imagesCAIPE13C.jpg" /></a><span style="color: orange;">มะละกอดิบสามารถรักษากระเพาะ ลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารแข็งแรง ท้องไส้สะอาดไม่มีไรเหลือค้างหมักหมม ให้ลมล่างส่งกลิ่นปากรบกวนชาวบ้าน นอกจากนี้มี Capaine ช่วยบำรุงหัวใจและช่วยต้านเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว เชื้อวัณโรค และเชื้ออะมีบาได้อีก</span></div><span style="color: orange;"> มะละกอสุกแช่เย็น 15 นาทีก็อร่อย เย็นชื่นใจแก้ร้อนในอีกด้วย หากจะทำยาถ่ายพยาธิเส้นด้ายมี 3 วิธี</span><br />
<span style="color: orange;"> วิธีที่ 1 ใช้ยางสดของมะละกอดิบ 1 ช้อนโต๊ะตีผสมไข่ 1 ฟอง ทอดให้กินตอนเช้าตอนท้องว่าง</span><br />
<span style="color: orange;"> วิธีที่ 2 ยางมะละกอดิบ 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำร้อน 3 – 4 ช้อนโต๊ะกินรวดเดียวแล้วกินน้ำมันละหุ่ง 2 – 3 ช้อนชา หลังจากนั้น 2 ชั่วโมง แต่ต้องรับประทานติดต่อกัน 2 วัน</span><br />
<span style="color: orange;"> วิธีที่ 3 ใช้เมล็ดมะละกอแก่ ๆ สด หรือแห้งใหม่ ๆ 1 – 1 ½ ช้อนกาแฟคั่วพอแห้งแล้วบดละเอียดเติมน้ำผึ้งจะได้รับประทานง่าย แต่ต้องรับประทานติดต่อกัน 2 – 3 วัน</span><br />
<br />
<span style="color: #cc0000;">จากที่กล่าวมาการรับประทานผักผลไม้นั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ที่ยกตัวอย่างมาให้เข้าใจเป็นผัก ผลไม้ ที่รักษาสุขภาพร่างกายอย่างง่าย ๆ และเป็นผักผลไม้ที่หาง่ายในท้องตลาดและมีคุณประโยชน์อย่างมากมาย</span><br />
<br />
<span style="background-color: yellow; color: red;">มาตรฐานการเรียนรู้ ส 4.3.3</span><br />
<span style="color: blue;">ศึกษาวิเคราะห์ผลงานตัวอย่างของบุคคลสำคัญทั้งในและต่างประเทศ ที่มีส่วนร่วมสร้างสรรค์วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ไทย</span><br />
<br />
<span style="background-color: cyan; color: blue;">สาระการเรียนรู้</span><br />
<span style="color: blue;">บุคคลสำคัญและผลงานในการสร้างสรรค์วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ชาติไทย</span><br />
<br />
<span style="background-color: yellow; color: blue;">บุคคลสำคัญและผลงานในการสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์</span><br />
<br />
<span style="background-color: cyan; color: blue;">สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1yz8sE0JjFxRpKpNVNu1NC6qg1H84BkheBMCTdQ1pmvNGNPdX611b5xwAzV91fhSKeXZxp3Va1TPaijBVdh1Dh6GGgywZIR32PUpeUMvxq6drXGZ_a4yTNgwSVXHNsxDdlvtWO9Lg_x6v/s1600/imagesCAXVDSIS.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1yz8sE0JjFxRpKpNVNu1NC6qg1H84BkheBMCTdQ1pmvNGNPdX611b5xwAzV91fhSKeXZxp3Va1TPaijBVdh1Dh6GGgywZIR32PUpeUMvxq6drXGZ_a4yTNgwSVXHNsxDdlvtWO9Lg_x6v/s1600/imagesCAXVDSIS.jpg" /></a> <span style="color: #b45f06;">สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระนามเดิมว่าพระองค์เจ้าดิศวรกุมาร เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาชุ่ม (โรจนดิส) สมเด็จฯ กรมพระบาดำรงราชานุภาพทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อพระชนมมายุ 29 พรรษา และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 ทรงดำรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรี และนายกราชบัณฑิตตยสภา คุณูนานัปการที่มีต่อประเทศชาติ ได้แก่</span></div> <span style="color: blue;">ด้านการปกครอง กิจการในกระทรวงมหาดไทยนั้นทรงวางรากฐานระบบเทศาภิบาล โดยยึดอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง สร้างเอกภาพและความมั่นคงให้แก่ราชอาณาจักรไทย ทรงเป็นยอดนักปกครองในการปฏิรูปการปกครองของประเทศ</span><br />
<span style="color: #38761d;">ด้านวรรณกรรม ผลงานพระนิพนธ์ของพระองค์ คือ ทรงศึกษาและค้นคว้าทางประวัติศาสตร์โบราณคดี พระพุทธศาสนา และวรรณคดี เป็นการศึกษาเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงโดยการเลือกเฟ้นข้อมูลและเอกสารจำนวนมากทั้งของไทยและของต่างประเทศ ตรวจสอบและวิพากษ์ข้อมูลโดยเสนอข้อเท็จจริงอย่างมะมัดระวังโดยปราศจากอคติ</span><br />
<span style="color: orange;">นอกจากนี้ยังทรงสร้างหอสมุดวชิรญาณขึ้นเป็นหอสมุดแห่งแรกของไทยใน พ.ศ. 2424 เพื่อจัดเก็บเอกสารเก่าหายาก เอกสารในประเทศ พงศาวดารประเทศเพื่อบ้าน และบันทึกชาวต่างชาติ งานพระนิพนธ์ของพระองค์มีทั้งหมด 1,050 เรื่อง ทรงได้รับการสดุดีว่าเป็น “พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย”</span><br />
<br />
<span style="background-color: cyan; color: blue;">สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhwL5PLXlhiMzjTO6HGAwmiestykGxRg6uSfdnVL4HMwjWYGVWb4dydzIGhR5c4hsBcxKG-rreI8bcMCnku1CLs12XvTpzAMQzN3sjnBT1MujC6JmwNfJhGLQ3VuD2cHI-_DN0-kfKt3zJv/s1600/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%AD++%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; cssfloat: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhwL5PLXlhiMzjTO6HGAwmiestykGxRg6uSfdnVL4HMwjWYGVWb4dydzIGhR5c4hsBcxKG-rreI8bcMCnku1CLs12XvTpzAMQzN3sjnBT1MujC6JmwNfJhGLQ3VuD2cHI-_DN0-kfKt3zJv/s1600/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%AD++%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C.jpg" /></a> <span style="color: magenta;">สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย เป็นผู้ที่ก่อให้เกิดประโยชน์นานัปการต่อประเทศชาติ ได้แก่</span></div><span style="color: blue;">1. ความสามารถด้านช่างและศิลปะจนได้รับการยกย่องเป็นบรมครูช่างศิลปะ จน UNESCO ประกาศเกียรติคุณในฐานะเป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลกประจำปี พ.ศ. 2506</span><br />
<span style="color: magenta;"> ผลงานด้านจิตรกรรมที่ทรงคุณค่า เช่น</span><br />
<span style="color: magenta;"> - ภาพสีน้ำมันประกอบพระราชพงศาวดารสมัยอยุธยา</span><br />
<span style="color: magenta;"> - ภาพมัจฉาชาดกที่หอพระคันธารราษฎรในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม</span><br />
<span style="color: magenta;"> - ภาพร่างเรื่องพระเวสสันดรชาดกสำหรับเขียนลงผนังพระอุโบสถวัดราชาธิวาส</span><br />
<span style="color: magenta;"> - ภาพเขียนพระสุริโยทัยขาดคอช้าง</span><br />
<span style="background-color: lime; color: red;">ผลงานด้านออกแบบสถาปัตยกรรม เช่น พระอุโบสถวัดราชาธิวาส และสถูปเจดีย์หลังพระอุโบสถ พระองค์ทรงสามารถทางด้านดนตรีไทยหลายอย่าง เช่น ขลุ่ย ระนาด ปีพาทย์ ผลงานด้านการนิพนธ์เพลง ได้แก่ เพลงเขมรไทยโยค เพลงมหาชัย เป็นต้น</span><br />
<span style="color: blue;">2. ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ กระทรวงกลาโหม กระทรวงพระคลังมหาสมบัติกระทรวงวัง</span><br />
<br />
<span style="background-color: cyan; color: #38761d;">พระยาอนุมาราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ)</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFcvBOgnN_xMQC1V51qFGjZwResxHAKNowgbH1wc1pXnvsp9YO4sFUf1S5LCAzyWCHLsFxCS4oLb6_v7S5-JmCBAoSYcX8utejKdM8xcfN5tBXzUrZrcbp5zT_lPEm2FncMU84NV5VPnGT/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%98%E0%B8%99++(%E0%B8%A2%E0%B8%87++%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A8).jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFcvBOgnN_xMQC1V51qFGjZwResxHAKNowgbH1wc1pXnvsp9YO4sFUf1S5LCAzyWCHLsFxCS4oLb6_v7S5-JmCBAoSYcX8utejKdM8xcfN5tBXzUrZrcbp5zT_lPEm2FncMU84NV5VPnGT/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%98%E0%B8%99++(%E0%B8%A2%E0%B8%87++%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A8).jpg" /></a><span style="color: #38761d;"> พระยาอนุมาราชธน เป็นบุตรของนายหลี และนางเฮียะ ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ท่านเป็นผู้ชอบอ่านหนังสือและช่วยอ่านหนังสือให้บิดาฟังเป็นประจำจึงเป็นพื้นฐานสำคัญให้ท่านเรียนดีวิชาที่สนใจ ได้แก่ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และภาษาอังกฤษที่ช่วยส่งเสริมความเป็นปราชญ์ในเวลาต่อมา</span></div><span style="color: #38761d;"> พระยาอนุมานราชธนได้รับแปลและเขียนหนังสือมาตั้งแต่รับราชการที่กรมศุลากร ท่านมีความรู้ความคิดกว้างขวางโยมีนามปากกา เช่น เสฐียรโกเศศ และนามานุลักษณ์ เป็นต้น ผลงานด้านหนังสือที่ได้ตีพิมพ์มีจำนวนมากกว่า 200 เรื่อง แพร่หลายด้านภาษา วรรณคดี วัฒนธรรม ศาสนา ประวัติศาสตร์ อีกทั้งท่านเป็นนักปาฐกถาอีกด้วย นอกจากนี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชบัณฑิตรุ่นแรกใน พ.ศ. 2485 และเป็นอุปนายกราชบัณฑิตยสถานคนแรก และจัดทำพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน รวมทั้งเป็นผู้ริเริ่มงานสารานุกรมไทยใน พ.ศ. 2496 ตลอดจนการสร้างงานบัญญัติศัพท์ภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยเมื่อ พ.ศ. 2503 ทั้งยังเป็นกรรมการจัดทำอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ชุดแรก พระยาอนุมานราชธนเป็นบุคคลสำคัญของไทยในด้านการส่งเสริมวัฒนธรรม และเป็นราชบัณฑิตที่ทรงความรู้ได้สร้างสรรค์ผลงานด้านวัฒนธรรมของชาติด้านภาษาศาสตร์ โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และมานุษยวิทยาเมื่อ พ.ศ. 2531 ได้รับประกาศยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญที่มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรมระดับโลกจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก)</span><br />
<br />
<span style="background-color: cyan; color: blue;">พระยากัลยาณไมตรี (ดร.ฟรานซิส บี แซร์)</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiRFoUcbhqnLDgLq8kwub28eCWq4aI9XvlnVC0APw3Kh_0RIEwwUEHbcxEEPMSPdtUlSqZvDrarnrvryIxSg7a7QEilxo7AQzQY4pOat_XTH_vlZAD1iU0IYXZFmmUgRYXObPIdLKdwYmBT/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5++(%E0%B8%94%E0%B8%A3.%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%AA++%E0%B8%9A%E0%B8%B5++%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B8%A3%E0%B9%8C).jpg" imageanchor="1" style="clear: right; cssfloat: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiRFoUcbhqnLDgLq8kwub28eCWq4aI9XvlnVC0APw3Kh_0RIEwwUEHbcxEEPMSPdtUlSqZvDrarnrvryIxSg7a7QEilxo7AQzQY4pOat_XTH_vlZAD1iU0IYXZFmmUgRYXObPIdLKdwYmBT/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5++(%E0%B8%94%E0%B8%A3.%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%AA++%E0%B8%9A%E0%B8%B5++%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B8%A3%E0%B9%8C).jpg" /></a> <span style="color: #351c75;">พระยากัลยาณไมตรีเป็นชาวอเมริกัน จบจากวิทยาลัยฮาร์วาณืด อายุได้ 27 ปี และได้ศึกษาต่อจนจบปริญญาดุษฎีบัณฑิตทางกฎหมาย และเป็นศาสตราจารย์ทางกฎหมายในเวลาต่อมา ท่านสอนวิชากฎหมายที่มุ่งเน้นจริยธรรมทางกฎหมาย เพื่อช่วยหาทางให้มนุษยชาติที่ด้อยโอกาสได้อยู่ร่วมกันโดยสันติสุข ได้รับความคุ้มครองให้มีเสรีภาพเสมอหน้าอย่างมีมนุษยธรรม</span></div><span style="color: #351c75;"> ในรัชกาลที่ 5 ดร.ปรานซิส บี. แซร์ ได้ถูกส่งเข้ามารับช่วงแทนที่ปรึกษาคนก่อน มาเป็นที่ปรึกษาการต่างประเทศ และได้พยายามขอแก้สนธิสัญญาด้วยการผ่อนสั้นผ่อนยาวตามโอกาสด้วยเชิงการทูตต่อประเทศคู่สัญญา ใช้เวลายาวนานร่วม 2 ปี ปละประสบความสำเร็จทำให้ไทยได้รับเสรีภาพทางภาษีอากรคืนมา และเอกราชสมบูรณ์ในภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และยังได้ช่วยองค์การสหประชาชาติดำเนินการให้นานาชาติที่เคยถูกยึดครองของมหาอำนาจกลับได้รับเอกราชอีกปลายประเทศ รัชกาลที่ 6 ทรงเห็นความดีที่มีต่อประเทศชาติได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ ดร.ฟรานซิส บี แซร์ขึ้นเป็นกัลยาณไมตรี อีกทั้งแต่งตั้งให้เป็นอัครราชทูตผู้แทนประเทศไทยประจำศาลอนุญาโตตุลาการเฮก ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ลาออกจากตำแหน่งต่าง ๆ กลับไปรับใช้ประเทศของท่าน แต่ก็ยังคงช่วยเหลือประเทศไทยอยู่ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลงได้ช่วยประเทศไทยให้คืนสู่ฐานะประเทศเอกราช จนถึงแก่อนิจกรรมเมื่ออายุได้ 87 ปี</span><br />
<br />
<span style="background-color: cyan; color: blue;">ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0Qcqqcip1rl1u3OBEXWPx24eZpVXiLYs92FTY2Nl9mBclBY9Moi2exC9s1yQi5TxElskMt8-Z7xDlsunXBuzsxesITcSKFvu4xa54ewoMr1ZAlAmklp7g0TaKpyuTc0qaEAwUuS7KcQa1/s1600/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B9%8C++%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0Qcqqcip1rl1u3OBEXWPx24eZpVXiLYs92FTY2Nl9mBclBY9Moi2exC9s1yQi5TxElskMt8-Z7xDlsunXBuzsxesITcSKFvu4xa54ewoMr1ZAlAmklp7g0TaKpyuTc0qaEAwUuS7KcQa1/s1600/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B9%8C++%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5.jpg" /></a> <span style="color: #7f6000;">ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีเป็นชาวอิตาเลียน เดิมนามเดิมว่า คอร์ราโด เฟโรจี (Pro. Corra do Feroci) เป็นผู้เดียวที่ได้รับคัดเลือกจากรัฐบาลอิตาลีและรัฐบาลสยามในจำนวนประติมากรอิตาลีให้เข้ามารับราชการเป็นประติมากรนายช่างศิลป์เอกในแผ่นดินสยาม พ.ศ. 2442 ในรัชกาลที่ 6 ก่อให้เกิดประโยชน์และมีบทบาทสำคัญ ได้แก่</span></div><span style="color: #7f6000;">1. เป็นผู้วางรากฐานการสอนศิลปะแบบตะวันตก โดยใช้หลักศูตรอะเคเดมีศิลปะ (Academy of Art) ของนครฟลอเรนซ์</span><br />
<span style="color: #7f6000;">2. เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนประณีตศิลปกรรมเมื่อ พ.ศ. 2467 ต่อมาอีก 2 ปีเป็นโรงเรียนศิลปากรและในปี </span><br />
<span style="color: #7f6000;">พ.ศ. 2486 ได้สถาปนาเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร</span><br />
<span style="color: #7f6000;"> ผลจากการก่อตั้งสถาบันศิลปะทำให้ผลิตนายช่างศิลป์ จิตรกร ประติมากร สถาปนิกผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปกรรมไทยร่วมสมัยไว้มากมาย</span><br />
<br />
<span style="background-color: yellow; color: blue;">สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี</span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh7DWfZxwURtBHEqpAZgbC_6NH6PTfV7t1rA2KYmfVSfMzdpiozQC8PzTZfGbaOom5DvFbQLy4T0NN9SvKYYaFPc1IkItzk7wivJyrFNSMHPTmRa0MZT4L2r2-VJzSfzIExP6HSslJeshTP/s1600/imagesCAUR7S65.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ox="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh7DWfZxwURtBHEqpAZgbC_6NH6PTfV7t1rA2KYmfVSfMzdpiozQC8PzTZfGbaOom5DvFbQLy4T0NN9SvKYYaFPc1IkItzk7wivJyrFNSMHPTmRa0MZT4L2r2-VJzSfzIExP6HSslJeshTP/s1600/imagesCAUR7S65.jpg" /></a> <span style="color: blue;">พระนามเดิมสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี คือ สังวาล พระบิดานามว่า ชู พระมารดา นามว่า คำ พระราชสมภพที่นนทบุรีเมื่อ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 ช่วงปฐมวัยได้ย้ายมาอยู่ที่ธนบุรี บริเวณซอยวัดอนงคาราม ทรงศักษาที่โรงเรียนวัดอนงคาราม โรงเรียนศึกษานารี โรงเรียนสตรีวิทยาตามลำดับ จากนั้นทรงเข้าเรียนวิชาพยาบาลที่โรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาลแห่งศิริราชเมื่อ พ.ศ. 2456 ในเวลาต่อมาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเดินทางไปศึกษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและได้พบกับสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ซึ่งทรงศึกษาวิชาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์ดแวร์ใน พ .ศ. 2462 ทั้งสองพระองค์ทรงหมั้นและเข้าพิธีอภิเษกสมรส ณ วังสระประทุม เมื่อวันที่ 101 กันยายน พ.ศ. 2463 ทรงมีพระธิดาและพระโอรส 3 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิลด และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตามลำดับ</span></div><span style="color: blue;"> สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนเสมอมา ใน พ.ศ. 2513 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศเฉลิมพระนามาภิไธยสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลเป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี คุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชน ได้แก่ โครงการต่าง ๆ เช่น</span><br />
<span style="color: blue;">- มูลนิธิแพทย์อาสาในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จุดประสงค์เพื่อรักษาพยาบาลประชาชนซึ่งประสบความเดือดร้อนยามเจ็บป่วยตามถิ่นทุรกันดารทั่วทุกภาคของประเทศ ตลอดจนบรรดาตำรวจตระเวณชายแดนในท้องถิ่นด้วย</span><br />
<span style="color: blue;">- มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ดำเนินกิจการด้านส่งเสริมอาชีพและรักษาศิลปกรรม วัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ทางภาคเหนือ เพื่อช่วยแก้ไขพัฒนาเศรษฐกิจครัวเรือน ตลอดจนให้การอบรมพัฒนาเยาวชนผู้นำชาวเขาและพัฒนาหมูบ้านไปด้วยกัน</span><br />
<span style="color: blue;">- การสร้างโรงเรียนชาวเขา เพื่อส่งเสริมการศึกษาของชาวเขาในถิ่นทุรกันดาร โดยใช้ตำรวจชายแดนที่ได้รับการฝึกอบรมด้านการสอน จากกระทรวงศึกษาธิการเป็นครูสอน</span><br />
<span style="color: blue;">- โครงการพัฒนาดอยตุง เพื่อสร้างความมั่นคง อยู่ดีกินดีในพื้นที่ดอยตุง เทือกเขานางนอน อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย โดยตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โครงการพัฒนาต้นน้ำลำธาร ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด และฟื้นฟูคุณภาพชีวิต</span><br />
<span style="color: blue;"> ด้วยพระราชกรณียกิจและพระมหากรุณาธิคุณ ประชาชนทั้งในเมืองและชนบทซาบซึ้งและเคารพรักพร้อมใจถวายพระนามด้วยความเคารพรักว่า “สมเด็จย่า” และ “แม่ฟ้าหลวง” ในวันคล้ายวันพระราชสมภพ วันที่ 21 ตุลาคม เป็นวัน “สังคมสงเคราะห์แห่งชาติ” และถวายพระราชสมัญญาพระองค์ว่า “มารดาแห่งการสงเคราะห์” เนื่องในมหามงคลพระชนมายุครบ 84 พรรษา นอกจากนี้ในการครบรอบ 100 ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กระทรวงสาธารณสุขได้ถวายพระราชสมัญญาพระองค์ท่านเป็น “พระมารดาแห่งการสาธารณสุขไทย” อีกด้วย</span><br />
<span style="color: blue;"> สมเด็จพระศรีนคริทราบรมราชชนนีเสด็จสวรรคตด้วยอาการโรคพระหทัย เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ณ โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร ท่ามกลางความเศร้าโศกของพระประยูรญาติและประชาชนชาวไทย</span>ครูจักรกฤษณ์ ดาวไธสงhttp://www.blogger.com/profile/03118799737520634651noreply@blogger.com2